James Jirayu Tangsrisuk
ชื่อ จิรายุ ตั้งศรีสุข หรือ เจมส์ เกิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2536 โดยมีพี่น้อง 2 คน
พี่สาว 1 คนเป็นชาวพิจิตร
จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนอนุบาลวชิร
และจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนพิจิตรพิทยาคม ปีการศึกษา 2555 เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีใน คณะนิเทศศาสตร์
สาชาวิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์มหาวิทยาลัยรังสิต ต่อมาปี 2556 ได้รับทุนความสามารถพิเศษ
(ด้านศิลปิน) จึงได้ย้ายคณะไปศึกษาที่คณะบริหารธุรกิจ
สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีกมหาวิทยาลัยรังสิต สีที่ชอบคือสีชมพู
และไม่ชอบกินเครื่องในทุกชนิด
บทสัมภาษณ์เจมส์ จิรายุ รายการตีสิบ
เริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า..
รู้สึกอย่างไรที่ตัวเองดังขนาดนี้ โดยหนุ่มเจมส์บอกว่า
ตนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าละครจะกระแสดีขนาดนี้
รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ทุกคนให้ความสนใจ อย่างในทวิตเตอร์ทุกคนก็อยากป่วย
อยากให้คุณชายหมอไปรักษา ก่อนหน้าที่ละครจะออนแอร์มีฟอลโลตนในทวิตเตอร์ประมาณ 2 หมื่นคนเท่านั้น แต่พอหลังจากละครออนแอร์ไปแล้ว ตนตกใจเลย
เพราะยอดฟอลโล่สูงถึง 4.5 แสนคน ด้านพิธีกรก็ได้โชว์ภาพของเจมส์ จิรายุ ในอินสตาแกรมว่า
แต่ละภาพนั้นมียอดไลค์กว่า 1 แสนไลค์เลยทีเดียว
ไม่ธรรมดาจริง ๆ
เมื่อถามถึงเรื่องถูกนำไปเปรียบเทียบกับ
ณเดชน์ คูกิมิยะ ว่าหนุ่มเจมส์จะเป็นซุป'ตาร์
ขึ้นแท่นแทนนั้น เจมส์ จิ กล่าวว่า คงไปเทียบกับพี่เขาไม่ติด
และตนก็ไม่คิดจะเทียบด้วย ส่วนตัวแล้วตนก็เป็นแฟนคลับพี่ณเดชน์
เพราะก่อนหน้านี้ตนเจอเขาที่งานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่หนึ่ง
ก็มีคนมาขอถ่ายรูปพี่เขาเยอะแยะเต็มไปหมด
แต่ยังไม่ถ่ายไม่เสร็จผู้จัดการก็บอกว่าให้กลับได้แล้วเพราะมีงานที่อื่นต่อ
แต่พี่เขาก็ตอบในทันทีว่า ยังกลับไม่ได้ เพราะยังถ่ายรูปไม่หมด
และถ้าจะไปพี่เขาต้องไปบอกเด็ก ๆ ก่อนว่าเขาจะกลับแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ตนประทับใจพี่เขามาก และตั้งใจว่าจะเดินตามรอยของการใช้ชีวิตของพี่เขาในวงการบันเทิง
หากย้อนกลับไปถึงเส้นทางการเป็นดารานั้น เจมส์ จิรายุ กล่าวว่า ตนไม่เคยคิดที่จะมาเป็นดาราเลย เพราะชอบเล่นคอมพิวเตอร์มาก ไม่สนใจดาราอะไรเลย แต่ส่วนคุณแม่นั้นเขาชอบ คุณแม่เปิดร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่บ้านเกิด จ.พิจิตร ระหว่างรอลูกค้าก็ดูทีวี และก็บอกว่าอยากเห็นตนเป็นดารา อยากเห็นตนอยู่ในทีวีบ้าง พร้อมกับจะส่งตนประกวดเวทีต่าง ๆ แต่ตนไม่ยอม ไม่อยากเป็นดารา
หากย้อนกลับไปถึงเส้นทางการเป็นดารานั้น เจมส์ จิรายุ กล่าวว่า ตนไม่เคยคิดที่จะมาเป็นดาราเลย เพราะชอบเล่นคอมพิวเตอร์มาก ไม่สนใจดาราอะไรเลย แต่ส่วนคุณแม่นั้นเขาชอบ คุณแม่เปิดร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่บ้านเกิด จ.พิจิตร ระหว่างรอลูกค้าก็ดูทีวี และก็บอกว่าอยากเห็นตนเป็นดารา อยากเห็นตนอยู่ในทีวีบ้าง พร้อมกับจะส่งตนประกวดเวทีต่าง ๆ แต่ตนไม่ยอม ไม่อยากเป็นดารา
"ทุกวันนี้เห็นแม่ยิ้มผมก็ดีใจนะ ก่อนหน้านี้แม่เค้าซื้อแค็ตตาล็อกฟรายเดย์ เป็นพวกแค็ตตาล็อกขายสินค้า ซึ่งหน้าหลังมันจะมีให้ส่งรูปเข้าประกวดเพื่อเป็นนายแบบหน้าปก แต่ต้องสงผ่านเว็บ ผมก็ไม่ส่งให้แม่ จนแม่แอบเอารูปผมไปส่งไปรษณีย์แทน เลยต้องไปประกวด ถูกบังคับประกวด" หนุ่มเจมส์ กล่าว
เจมส์ จิรายุ กล่าวต่อไปว่า ในละครฉากจบตอนสุดท้าย แม่กับพ่อไม่ได้อยู่ดู เพราะตนให้พ่อกับแม่ไปเที่ยวญี่ปุ่น แม่ของตนเปิดร้านขายเสื้อผ้า ชื่อร้านสตรอว์เบอร์รี่ อยู่ที่ตลาดสด เทศบาลสอง และก็ไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศมาก่อน พอตนได้เงินจากการเล่นละครตนก็ให้พ่อกับแม่ไปเที่ยวกับเขาบ้าง ไปกับญาติ ๆ ประมาณ 6-7 คน
พูดถึงกันเรื่องครอบครัวบ้าง ซุป'ตาร์สายฟ้าแลบ เล่าว่า ตนมีพี่น้องสองคน คือตนเป็นคนเล็ก
และมีพี่สาวตอนนี้เรียนหมออยู่ อายุประมาณ 25 ปี
กำลังจะไปเรียนต่อเฉพาะทาง ส่วนตนเรียนบริหาร แต่เรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไร จบ ม.ปลาย
ด้วยเกรด 2.5
ด้านพิธีกรถามต่อว่า
เห็นแม่บอกว่าตั้งใจให้ลูกหล่อตั้งแต่ในท้อง ด้านเจมส์หัวเราะ พร้อมกับเผยว่า "มีคนบอกแม่ว่าต้องกินปลาตัวเล็ก ๆ ปลาที่กินได้ทั้งตัว
มันจะสร้างแคลเซียมทำให้ลูกเกิดมาจมูกโด่ง และตัวสูง
ด้วยความที่ตอนนั้นเทรนด์หน้าลูกครึ่งกำลังฮิต แม่ก็เลยทำตาม
แถมยังเอาภาพเด็กฝรั่งมาแปะที่ปลายเท้าตอนท้อง ดูเช้า ดูเย็น ดูทุกวัน
พอเกิดมาพ่อเล่าว่า จมูกผมชี้ออกมาเลย โด่งเหมือนจมูกพ่อมด"
นอกจากนี้ หนุ่มเจมส์ ยังเล่าถึงที่มาของชื่อให้ฟังว่า
ที่ชื่อเจมส์ เป็นเพราะแม่อยากตั้งให้คล้องกับพี่สาวที่ชื่อจิ๊บ ส่วนชื่อจริง
จิรายุ ก็คล้องจองกับพี่สาวที่ชื่อ จุฬาลักษณ์ สำหรับคำว่า เจมส์ มาจาก "เจมส์ บอนด์" ด้านพิธีกรแซวว่า
ไม่ใช่มาจากเจมส์ เรืองศักดิ์ หรอกเหรอ หนุ่มเจมส์ส่ายหัวปฏิเสธ
และบอกว่าเคยฟังเพลงพี่เขาและเคยเต้นด้วยตอนประมาณ ป.3 แถมยังโชว์ท่าเต้นตัดให้ขาดเลยฉับ
ฉับ ฉับ ให้ชมกันอีกด้วยนะ
ส่วนเส้นทางการก้าวมาเป็นพระเอกของหนุ่มเจมส์นั้น เรียกได้ว่าเป็นความบังเอิญสุดแสนจะบังเอิญเลยทีเดียว เพราะ ปิ๊ก ชาญฉลาด ผู้จัดการส่วนตัวของเจมส์ จิ นั้น เห็นความหล่อของเขาผ่านเฟซบุ๊ก!!
"มันบังเอิญมาก
ตอนนั้นพี่ปิ๊กเค้าต้องการหาดาราอยู่
แล้วก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเขาสนใจจะเป็นนักแสดง
พี่ปิ๊กเลยเข้าไปดูในโปรไฟล์ที่เฟซบุ๊กของผู้หญิงคนนั้น และก็มาเห็นรูปของผมในเฟรนด์ของผู้หญิงคนนั้น เป็นภาพเล็ก ๆ
ถือได้ว่ารูปนั้นเปลี่ยนชีวิตผมไปเลยทีเดียว"
ต่อจากนั้น หนุ่มเจมส์ ก็ได้เล่าชีวิตในวัยเด็กให้ฟังว่า
ตนเป็นเด็กที่ชอบเล่นคอมพิวเตอร์มาก ร้านเกมเปิดอยู่ข้าง ๆ กับร้านเสื้อของแม่
ก็เข้าไปเล่นทุกวัน ประมาณวันละ 10 กว่าชั่วโมง
เรียกได้ว่าติดเกมสุด ๆ ตอนเด็ก ๆ แม่มีกฎอยู่ข้อหนึ่งคือห้ามนอนเกิน 4 ทุ่ม ตนตั้งนาฬิกาปลุกตื่นมาตอนตี 4 เพื่อจะได้เล่นเกมให้ได้มากที่สุด
ก่อนเข้านอน รวม ๆ แล้วก็ 18 ชั่วโมง
ซึ่งการติดเกมมันทำให้ตนสายตาสั้นมาก ตอนนี้ตนสายตาสั้นถึง 600 สวมแว่นแล้วเหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์ แถมตอนนั้นก็ยังไม่มีสังคม
เป็นคนเก็บตัว สุขภาพไม่แข็งแรงเพราะไม่ได้ออกกำลังกายเลย
เจมส์ จิรายุ เล่าต่อว่า ตนเพิ่งมาเลิกเกมได้ตอนขึ้น ม.4 เพราะต้องย้ายโรงเรียนเดิม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ตนเรียนตั้งแต่อนุบาล
พอย้ายมาปุ๊บก็เจอเพื่อนใหม่ มีกิจกรรมใหม่ ๆ ทั้งเตะบอล เล่นกีตาร์
เลยใช้เวลาว่างทำอย่างอื่นแทนการเล่นเกม
นอกจากนี้ เจมส์ ยังเผยอีกว่า เขาเพิ่งแยกห้องนอนกับพ่อแม่เมื่อปีที่แล้วตอนย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ตอนเด็ก ๆ ถึงอายุ 18 ก็นอนในห้องเดียวกับพ่อแม่ตลอด ไม่คิดว่าอยากจะมีห้องเป็นของตัวเอง คงเพราะชินแล้ว ซึ่งพ่อกับแม่จะนอนบนเตียง ส่วนตนจะปูที่นอนนอนกับพื้น และตอนที่ตนย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ วันแรก ตนกลัวผีมาก เปิดไฟนอนเลย
สำหรับการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ นั้น พระเอกหนุ่มเล่าว่า ทุกอย่างแตกต่างกับ จ.พิจิตร โดยสิ้นเชิง ที่บ้านเกิดตนพอ 3 ทุ่ม เขาก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว แต่ที่กรุงเทพฯ 2-3 ทุ่ม บางคนเพิ่งออกจากบ้าน ตนก็แปลกใจว่าทำไมเขาไม่หลับไม่นอนกัน มีเสียงรถแล่นทั้งวันทั้งคืน แต่อีกนัยหนึ่งก็ตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ตนไม่เคยเห็น อย่างเช่น เรื่องรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน ตอนมาอยู่แรก ๆ ก็ขึ้นผิดขึ้นถูก แต่ตอนนี้ตนซื้อบัตรแบบเติมเงินแล้ว เป็นบัตรนักศึกษาด้วย เพราะมีส่วนลด ไม่ต้องไปต่อแถวแลกเหรียญแล้ว (หัวเราะ)
นอกจากนี้ เจมส์ ยังเผยอีกว่า เขาเพิ่งแยกห้องนอนกับพ่อแม่เมื่อปีที่แล้วตอนย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ตอนเด็ก ๆ ถึงอายุ 18 ก็นอนในห้องเดียวกับพ่อแม่ตลอด ไม่คิดว่าอยากจะมีห้องเป็นของตัวเอง คงเพราะชินแล้ว ซึ่งพ่อกับแม่จะนอนบนเตียง ส่วนตนจะปูที่นอนนอนกับพื้น และตอนที่ตนย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ วันแรก ตนกลัวผีมาก เปิดไฟนอนเลย
สำหรับการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ นั้น พระเอกหนุ่มเล่าว่า ทุกอย่างแตกต่างกับ จ.พิจิตร โดยสิ้นเชิง ที่บ้านเกิดตนพอ 3 ทุ่ม เขาก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว แต่ที่กรุงเทพฯ 2-3 ทุ่ม บางคนเพิ่งออกจากบ้าน ตนก็แปลกใจว่าทำไมเขาไม่หลับไม่นอนกัน มีเสียงรถแล่นทั้งวันทั้งคืน แต่อีกนัยหนึ่งก็ตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ตนไม่เคยเห็น อย่างเช่น เรื่องรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน ตอนมาอยู่แรก ๆ ก็ขึ้นผิดขึ้นถูก แต่ตอนนี้ตนซื้อบัตรแบบเติมเงินแล้ว เป็นบัตรนักศึกษาด้วย เพราะมีส่วนลด ไม่ต้องไปต่อแถวแลกเหรียญแล้ว (หัวเราะ)
ท้ายนี้ หนุ่มเจมส์ ยังได้ฝากเสียงเพลงเพราะ ๆ กับเพลง "ไม่อาจเปลี่ยนใจ" ของเจมส์ เรืองศักดิ์
และเพลง "ไกลแค่ไหนคือใกล้" ของวง Getsanova ให้ได้ฟังกันด้วยนะ
พร้อมกับฝากผลงานเรื่องละคร รักสุดฤทธิ์ ที่กำลังถ่ายทำ
ซึ่งคาดว่าจะได้ออกอากาศช่วงปลายปี และละครทองเนื้อเก้า
ที่กำลังพูดคุยถึงเรื่องบทกันอยู่
ใครที่รักที่ชอบหนุ่มเจมส์ก็อย่าลืมติดตามผลงาน ทั้งน่ารัก
มีเสน่ห์ แถมนิสัยดีอย่างนี้ อนาคตไกลแน่ นอน
ผลงาน
ภาพยนตร์
· First
love รักครั้งแรก [หมายเหตุ : เดิมภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อว่า
"Where is love อยู่ที่ไหนนะ...ความรัก] รับบทเป็น
น้ำน่าน (ภาพยนตร์โปรโมทการท่องเที่ยวของจ.พิษณุโลก)
· The
Way มรรค รับบทเป็น ตั้ม
· Timeline จดหมาย ความทรงจำ รับบทเป็น แทน
โฆษณา/พรีเซนเตอร์
· Catalogue
Friday
· วุฒิศักดิ์คลินิก
· AIS 3G
2100
· TOYOTA VIOS
V Control
· 7-Eleven แสตมป์รักเมืองไทย
เพลง
· เพลง มาใกล้กัน (ประกอบโฆษณา AIS 3G 2100)
รางวัล
· ชนะเลิศ The Idol Friday 2011
· Man
of the Year 2012
إرسال تعليق